บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่5
Knowledge
การนำเสนอของกลุ่มที่7 หัวข้อ วิธีการสอนแบบสตอรี่ไลน์
เป็นการนำสาระการเรียนรู้จากหลากหลายเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
เพื่อจัดการเรื่องรู้ภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน โดยผูกเรื่องเป็นตอนๆ
เรื่องแต่ละตอนจะต่อเนื่องกันและมีลำดับเหตุการณ์และเส้นทางการเดินเรื่อง
และใช้คำถามหลักเป็นการนำไปสู่การทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย โดยการลงมือปฎิบัติ
เน้นการคิด วิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม
ลักษณะของstoryline
- เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
- ทุกคนมีโอกาสแสดงความสามารถ
- สร้างความตื่นตัวให้ผู้เรียนอยู่เสมอ
- ฝึกทักษะพื้นฐานกับชีวิตจริง
- สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ
- ใช้ได้ดีกับการเรียนรู้ภาษา
สิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
- ใช้เทคนิค
วิธีการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
- ปฏิบัติซ้ำ
แต่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
- เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน
- เน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ
- เน้นการตั้งคำถามหลักของครูผู้สอน
- เน้นการสร้างความคิดร่วมยอดด้วยตนเอง
องค์ประกอบและลักษณะกิจกรรม
ฉาก
- แบ่งกลุ่มสร้างภาพ สองมิติ สามมิติ
- กำหนดรายการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานที่
- ร่วมกันอภิปรายภาพและสิ่งที่เกิดขึ้น
- อภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับสถานที่ โดยเงื่อนไขของเวลาต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ตัวละคร
- ช่วยกันสร้าง (วาด ประดิษฐ์) ตัวละครที่กำหนดขึ้น
- ช่วยกันเสนอแนะว่ามีใครบ้าง ที่จำเป็นต้องมีอยู่ในเรื่องนี้
- เล่าเขียนอธิบายลักษณะนิสัย เพื่อนำไปเป็นเนื้อหาสาระการเรียนรู้ต่อไป
การดำเนินชีวิต
- ร่วมกันอภิปรายถึงวิถีชีวิต ของบุคคลต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตตามลักษณะความเป็นอยู่
- กิจวัตรประจำวัน การเดินทาง
เหตุการณ์
- ผู้เรียนได้ข้อสนอแนะถึงความเป็นไปได้ โดยการอภิปรายหรือถกเถียงร่วมกัน
- ผู้เรียนสะท้อนภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายเรื่องราวในแง่มุมต่าง ๆ
กฎระเบียบ
- ผู้เรียนอภิปรายถึงการกำหนดแนวทาง หลักการปฏิบัติดำเนินชีวิตร่วมกัน ตามเนื้อหาสาระ
- เขียน พิมพ์แนวทาง แผนงาน นโยบาย กิจกรรม ข้อตกลง ปิดประกาศ แจ้งให้ทราบทั่วกัน
จังหวะเวลา
- ให้เหตุผลต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ตามช่วงเวลาต่างๆ
- พัฒนาแนวคิดต่างๆ โดยการอภิปราย ปฏิบัติงานร่วมกันและบันทึกข้อมูล
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น
1.ผู้สอนและผู้เรียนร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมที่นำไปสู่การสรุปเรื่องราวต่างๆ
ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข เช่นงานเฉลิมฉลอง การมอบรางวัล
2.วางแผนกำหนดกิจกรรมให้สมบูรณ์ เช่น พิธีเปิด กำหนดการ
จดหมายขอบคุณ การแสดง การนำเสนอผลงาน
การสะท้อนผลงาน
ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความรู้สึกวิพากษ์ประเด็นสำคัญ
เปรียบเทียบความแตกต่าง สรุปความรู้ที่ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์
สื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือเล่มเล็ก แฟ้มสะสมงาน
เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น
1.ผู้สอนและผู้เรียนร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมที่นำไปสู่การสรุปเรื่องราวต่างๆ
ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข เช่นงานเฉลิมฉลอง การมอบรางวัล
2.วางแผนกำหนดกิจกรรมให้สมบูรณ์ เช่น พิธีเปิด กำหนดการ
จดหมายขอบคุณ การแสดง การนำเสนอผลงาน
การสะท้อนผลงาน
ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความรู้สึกวิพากษ์ประเด็นสำคัญ
เปรียบเทียบความแตกต่าง สรุปความรู้ที่ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์
สื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือเล่มเล็ก แฟ้มสะสมาน
แนวทางการจัดกิจกรรม
- ศึกษาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ วิธีการจัดกิจกรรมแบบ storyline
- ศึกษาตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ที่มีลักษณะหัวเรื่องโดยใช้เทคนิค storyline เลือกแผนที่มีความเหมาะสมกับชั้นเรียน
เพื่อทดลองสอน
- เลือกแผนการจัดการเยนรู้ที่มีความยาวสลับซับซ้อนมากขึ้นมาทดลองอีก
2-3 แผนเพื่อให้ชำนาญ
- ทดลองเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ตามหัวข้อเรื่องที่สนใจผูกโยงเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เข้าด้วยกัน
- สร้างคำถามหลักเพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้แบบstoryline
- กำหนดระยะเวลาสอนในแต่ละหัวข้อ
อาจกำหนดต่อเนื่องกัน 2-3ชั่วโมงในทุกวันศุกร์ช่วงบ่าย หรือสอนวันเว้นวัน
หรือสัปดาห์สุดท้าย ก่อนปิดภาคเรียน
- นำแผนไปทดลองสอน
- บันทึกหลังสอน ปรับแผน กิจกรรม ระยะเวลา เนื้อหาสาระการเรียนรู้
- เตรียมสื่อแหล่งการเรียนรู้
แหล่งวิทยาการ วิทยากร สถานที่
- ประเมินผลงานของนักเรียน
การนำเสนอของกลุ่มที่8 หัวข้อ การสอนแบบวอลดอฟ
ผู้ริเริ่มแนวการสอนที่รู้จักชื่อแพร่หลายแบบวอลดอร์ฟ
(Waldort)คือ รูดอร์ฟ สไตเนอร์(Rudolf Steiner)
วิธีการสอนของสไตเนอร์หรือวอลดอร์ฟ
นั้นจัดเป็นการเรียนการสอนแบบเน้นกิจกรรมการเล่น คือ ดนตรี จังหวะ บทเพลง นิทาน
เพราะกิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมความคิดจินตนาการของเด็ก
และช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกาย
1. เด็กเรียนรู้จากการเลียนแบบ 0-7 ปี
2. เน้นการเล่นของเด็ก3-7 ปี
3. มีการจัดอุปกรณ์เครื่องเขียน
4. การเรียนรู้ของเด็กทั้งในบ้านและในชั้นเรียนไม่ควรมีของเล่นมากเกินไป
5. พ่อแม่สามารถทำของเล่นง่ายๆให้ลูกได้
6. ของเล่นในห้องเรียนสามารถเป็นของใช้ภายในบ้าน
7. พ่อแม่ไม่ควรให้ลูกดูทีวีมากเกินไป
8. ทุกเช้าก่อนเข้าเรียนจะมี “morning verse
9. การสอนแบบวอลดอร์ฟไม่เน้นการสอนทางวิชาการ
10. วอลดอร์ฟให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
2. เน้นการเล่นของเด็ก3-7 ปี
3. มีการจัดอุปกรณ์เครื่องเขียน
4. การเรียนรู้ของเด็กทั้งในบ้านและในชั้นเรียนไม่ควรมีของเล่นมากเกินไป
5. พ่อแม่สามารถทำของเล่นง่ายๆให้ลูกได้
6. ของเล่นในห้องเรียนสามารถเป็นของใช้ภายในบ้าน
7. พ่อแม่ไม่ควรให้ลูกดูทีวีมากเกินไป
8. ทุกเช้าก่อนเข้าเรียนจะมี “morning verse
9. การสอนแบบวอลดอร์ฟไม่เน้นการสอนทางวิชาการ
10. วอลดอร์ฟให้ความสำคัญกับการจัดสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
แนวการเรียนการสอนของโรงเรียนวอลดอร์ฟ
โรงเรียนแนวการเรียนการสอนแบบวอลดอร์ฟ
เป็นแนวการศึกษาที่บูรณาการวิชาการไปกับกิจกรรรมต่างๆ
โดยมีครูคอยดูแลและอำนวยความสะดวก
เน้นการจัดบรรยากาศในการเรียนการสอนที่เน้นความงดงามของธรรมชาติทั้งในกลางแจ้งและในห้องเรียน
โดยเชื่อว่าช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี
เพื่อพัฒนาให้เด็กเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพที่สมดุลกลมกลืนไปกับโลกและสิ่งแวดล้อมและได้ใช้พลังงานทุกด้านอย่างพอเหมาะ
จุดเด่นของโรงเรียนแนวการสอนวอลดอร์ฟ
- เป้าหมาย คือ
ช่วยให้มนุษย์บรรลุศักยภาพสูงสุดที่ตนมีและสามารถกำหนดความมุ่งหมายและแนวทางแก่ชีวิตของตนได้อย่างอิสระ
- เน้นเรื่องของการเชื่อมโยงมนุษย์กับจักรวาล
โดยมีมุมมองว่า เด็กควรได้เล่นอย่างอิสระ ชีวิตเรียบง่ายกลมกลืนกับธรรมชาติ
เน้นการสอนให้รู้จักจุดยืนที่สมดุลของตนในการใช้ชีวิตอยู่บนโลก โดยผ่านกิจกรรม 3
อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ความรู้สึก และผ่านการคิด เน้นการให้เด็กได้ใช้พลังทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติอย่างพอเหมาะ
- จะสอนตามพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะวัย 0-7
ปีเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางกายมาก จึงเน้นไปที่การเล่นเพื่อพัฒนาอวัยวะส่วน
- สิ่งที่การเรียนแนววอลดอร์ฟเน้นมากคือ
"จินตนาการของเด็กคือการเรียนรู้" วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้จะต้องเป็นธรรมชาติ
เช่น ถ้าวาดรูป สีที่ใช้ก็จะมีแค่สีปฐมภูมิ คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง เท่านั้น
แนวคิดนี้จะทำให้เด็กมีจิตใจอ่อนโยน มองเห็นว่าโลก สิ่งแวดล้อม
และสรรพสิ่งเป็นสิ่งเดียวกันต้องช่วยกันรักษา
ซึ่งส่งเสริมให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์เป็น
กิจกรรมที่มุ่งเน้นในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนแนววอลดอร์ฟมักจะเน้นไปที่การเรียนรู้แบบธรรมชาติ
ไม่มีห้องเรียน ไม่มีกระดานดำ แต่จะมีมุมต่างๆ ให้เด็กได้เรียนรู้
ได้เป็นอิสระที่จะคิดและสร้างสรรค์ หรือหากเด็กๆ ต้องการเล่นตุ๊กตา เล่นรถ
ในห้องก็จะมีข้าวของที่ทำจากธรรมชาติให้ประดิษฐ์ดัดแปลงเล่นกัน เช่น ผ้าหลากสี
ท่อนไม้ เปลือกไม้ ลูกสน เป็นต้น ทุกอย่างจะถูกกำหนดให้เป็นได้สารพัดตามแต่ใจเด็กๆ
สภาพแวดล้อมในโรงเรียนวอลดอร์ฟ
รูดอร์ฟ สไตเนอร์
นักปรัชญาชาวเยอรมัน ผู้ริเริ่มแนวการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟเชื่อว่า
สิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี โดยเฉพาะเด็กๆ
ที่มีจิตใจละเอียดอ่อนจะซึมซับสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้ได้ง่าย
ดังนั้นการจัดบรรยากาศทั้งในและนอกชั้นเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ
มีการเน้นความงดงามตามธรรมชาติ เช่น การจัดสีที่นุ่มนวล แสงสว่างจากธรรมชาติที่ไม่จัดจ้า
ตลอดจนเสียงที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น นกร้อง ใบไม้ไหว น้ำไหลริน
หรือเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะสร้างความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน
และสดชื่นให้เกิดขึ้นในจิตใจเด็กเด็กจะมีพลังตื่นตัวและมีสมาธิในการเรียนรู้ได้ไม่ยาก
สิ่งที่เด็กได้รับจากการเรียนโรงเรียนวอลดอร์ฟ
การเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นมนุษย์ที่มีบุคลิกภาพสมดุลกลมกลืนกับโลกและสิ่งแวดล้อม
ให้เด็กได้พัฒนาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กันไป
เด็กจะพัฒนาถึงศักยภาพสูงสุดของตนได้ โดยการเรียนรู้ของเด็กนั้นจะเป็นไปอย่างสมดุล
โดยการเรียนรู้ทางกาย(การลงมือทำ) หัวใจ(ความรู้สึก ความประทับใจ)
และสมอง(ความคิด)
การนำเสนอของกลุ่มที่9 หัวข้อ การเรียนรู้แบบธรรมชาติ
ที่มาของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
•
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ เกิดจากหลักการ และแนวคิด ของนักศึกษา
นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean piaget ผู้เชื่อว่าการที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆรอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ
ไม่ใช่การรับเข้าไปเฉยๆ การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลทางสังคม
และเชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต
การเรียนภาษาจึงต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก
โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมกัน
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ
•
การสอนภาษาแบบธรรมชาติคือ การที่เด็กได้เรียนรู้
การใช้ภาษาทั้งด้านการ ฟัง พูด อ่าน เขียน
เป็นไปตามธรรมชาติอย่างมีความหมายสอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน เขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง
เช่นการอ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังเรื่องเล่าจากเพื่อน ฟังนิทานจากครู เป็นต้น
ลักษณะการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
•
เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้
เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ
ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้และร่วมมือจัดการเรียนการสอนระหว่างเด็กกับครู
ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไร
และใครรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก
เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมให้กับเด็ก
สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนแบบภาษาในระดับปฐมวัย
•
โรงเรียนเกษมพิทยาได้ค้นพบว่า
ปัจจุบันเด็กประถมวัยมีปัญหาการเรียนภาษา มีทัศนคติที่ไม่ดี เชื่อว่าเรียนภาษายาก
เพราะการสอนเด็กด้วยระบบเก่าเน้นทักษะและเน้นไวยากรณ์ โดยการแจกลูกผสมคำ
แต่เด็กกลับอ่านหนังสือไม่ออกในระดับประถมศึกษา ถึงแม้จะฝึกหนัก
•
การแก้ปัญหาดังกล่าวคือ
การเลือกใช้วิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย
เพราะการพัฒนาการทางสมองจะมีการทำงานแบบองค์รวม
Apply
การเข้าใจธรรมชาติของเด็กจะช่วยทำให้ส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้อย่างถูกต้อง ครูควรมีวิธีการสอนที่หลายเพื่อปรับใช้กับพัฒนาการเด็กในชั้นเรียนของตน
Teaching Techniques
การอธิบาย / การยกตัวอย่าง / การใช้คำถาม
Evaluation
Teacher อธิบายเนื้อหาอย่างละเอียดและเข้าใจ อาจารย์มีวิธีการให้ความรู้แก่นักศึกษาอย่างน่าสนใจ
Friend ทุกคนให้ความร่มมือในการทำงานในห้องเรียนอย่างตั้งใจ และแต่งกายเรียบร้อย
Self ตั้งใจฟังและนั่งอย่างเรียบร้อย ตั้งใจทำงานที่อาจารย์มอบหมายให้ทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น