วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่2
วันจันทร์ ที่22 มกราคม 2561


Knowledge



        การนำเสนองานของกลุ่มที่1 หัวข้อ : พัฒนาการของเด็กปฐมวัย
ด้านร่างกาย
     เด็กอายุ 3 ปี
- กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ได้
- รับลูกบอลด้วยมือและลำตัว 
-เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้ 
- เขียนรูปวงกลมตามแบบได้ 
- ใช้กรรไกรมือเดียวได้

     เด็กอายุ  4 ปี
- กระโดดขาเดียวอยู่กับที่ได้
- รับลูกบอลได้ด้วยมือทั้งสอง 
- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้ 
- เขียนรูปสี่เหลี่ยมตามแบบได้
- ตัดกระดาษเป็นเส้นตรงได้ 
- กระฉับกระเฉงไม่ชอบอยู่เฉย

     เด็กอายุ  5  ปี
- กระโดดขาเดียวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องได้
- รับลูกบอลที่กระดอนขึ้นจากพื้นได้ด้วยมือทั้งสอง 
- เดินขึ้น - ลงบันไดสลับเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว 
- เขียนรูปสามเหลี่ยมตามแบบได้ 
- ตัดกระดาษตามแนวเส้นโค้งที่กำหนด 
- ใช้กล้ามเนื้อเล็กได้ดี เช่น ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า ฯลฯ 
- ยืดตัว คล่องแคล่ว

ด้านอารมณ์และจิตใจ
     เด็กอายุ 3  ปี
- แสดงอารมณ์ตามความรู้สึก 
- ชอบที่จะทำให้ผู้ใหญ่พอใจและได้คำชม 
- กลัวการพลัดพรากจากผู้เลี้ยงดูใกล้ชิดน้อยลง
- แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับบางสถานการณ์ 
- เริ่มรู้จักชื่นชมความสามารถ ผลงานของตนเองและผู้อื่น 
- ต้องการให้มีคนฟัง คนสนใจ

     เด็กอายุ 4 ปี

- แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับบางสถานการณ์ 

- เริ่มรู้จักชื่นชมความสามารถ ผลงานของตนเองและผู้อื่น 
- ต้องการให้มีคนฟัง คนสนใจ

     เด็กอายุ 5 ปี
- แสดงอารมณ์ได้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม 
- ชื่นชมผลงานของตนเองและผู้อื่น 
- ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลง 
- เล่นหรือทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกับผู้อื่นได้ 
- รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย


ด้านสังคม

     เด็กอายุ 3  ปี
- รับประทานอาหารได้ด้วยตนเอง 
- ชอบเล่นแบบคู่ขนาน (เล่นของเล่นชนิดเดียวกัน แต่ต่างคนต่างเล่น) 
- เล่นสมมุติได้ 
- รู้จักรอคอย

     เด็กอายุ 4  ปี
- แต่งตัวได้ด้วยตนเอง ไปห้องส้วมได้เอง 
- เล่นร่วมกับคนอื่นได้ 
- รอคอยตามลำดับก่อน -หลัง 
- แบ่งของให้คนอื่น 
- เก็บของเล่นเข้าที่ได้

     เด็กอายุ 5  ปี
- ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง 
- เล่นหรือทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกับผู้อื่นได้ 
- พบผู้ใหญ่ รู้จักไหว้ ทำความเคารพ 
- รู้จักขอบคุณ เมื่อรับของจากผู้ใหญ่ 
- รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย
ด้านสติปัญญา
     เด็กอายุ 3  ปี
- สำรวจสิ่งต่างๆ ที่เหมือนกันและต่างกันได้ 
- บอกชื่อของตนเองได้ 
- สนทนาโต้ตอบ/เล่าเรื่องด้วยประโยคสั้นๆ ได้ 
- ร้องเพลง ท่องกลอน คำคล้องจองง่ายๆ และแสดงท่าทางเลียนแบบได้ 
- รู้จักใช้คำถาม “อะไร” 

     เด็กอายุ 4  ปี
- จำแนกสิ่งต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ 
- สนทนาโต้ตอบ/เล่าเรื่องเป็นประโยคอย่างต่อเนื่อง 
- สร้างผลงานตามความคิดของตนเอง โดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้น 
- รู้จักใช้คำถาม “ทำไม”

     เด็กอายุ 5  ปี
- บอกความแตกต่างของกลิ่น สี เสียง รส รูปร่างจำแนกและจัดหมวดหมู่สิ่งของได้ 
- พยายามหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง 
- รู้จักใช้คำถาม “ทำไม” “อย่างไร” 
- เริ่มเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม

การนำเสนองานของกลุ่มที่2 หัวข้อ ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
ความต้องการของเด็กปฐมวัย
     - ความต้องการพื้นฐานทางกาย เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่
     - ความต้องการความอิสระ ควบคู่ไปกับความต้องการพื้นฐานทางกาย
     - ความต้องการผลสัมฤทธิ์ มักจะต้องการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น
     - ความต้องการประสบการณ์ที่ท้าทาย 
     - ความต้องการมีเพื่อน เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น 
ความสนใจของเด็กปฐมวัย
     สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเด็กนั่นเอง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ช่วงเวลาของความสนใจของเด็กปฐมวัย       จะค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 นาที จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้ชอบที่จะเปลี่ยนกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา
     1.ความสนใจร่วม เนื่องจากเด็กที่มีอายุระดับใกล้เคียงกัน
     2.ความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ ควรเปิดโอกาสให้เด็กพบกับสิ่งใหม่ ๆ
     3.เป็นสิ่งที่ดี ในขณะเดียวกัน ควรเพิ่มกิจกรรมไปจากความสนใจ
     4.ความสนใจชั่วครู่ และความสนใจที่แตกต่างออกไป 
เด็กปฐมวัยมีความสนใจในสิ่งต่าง ๆ 
     1.สนใจการเล่นและมักจะเล่นคนเดียวมากกว่าจะเล่นกับเพื่อนเป็นกลุ่ม
     2.สนใจรูปภาพในหนังสือ ภาพที่เด็กสนใจจะต้องมีสีสดใส ชัดเจน
     3.สนใจฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือภาพยนต
     4.สนใจฟังเพลงที่มีจังหวะง่าย ๆ คำร้องสั้น ๆ
     5.สนใจสิ่งรอบตัว ชอบซัก ชอบถาม
การนำเสนองานของกลุ่มที่3 หัวข้อ การเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย



     การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่คนเรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม หรือจากการฝึกหัด รวมทั้งการเปลี่ยนปริมาณความรู้ของผู้เรียน มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ
1) มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น “รู้”  “ทำไม่ได้” เป็น “ทำได้” “ไม่เคยทำ” เป็น “ทำ”
2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร
3) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้น เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด ไม่ใช่จากเหตุอื่นๆ


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์
     เพียเจท์  กล่าวถึง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม เพียเจท์ได้มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน  เพียเจท์ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น  4  ขั้น
1.  ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ
3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม 
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม

ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวกอสกี้

     กล่าวว่า เด็กจะเกิดการเรียนรู้  พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่น  หากเด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทายแต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง  แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์มาก่อน  เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ 
     เชื่อว่า ครูสามารถจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนได้ โดยต้องคำนึงถึงทฤษฎีพัฒนาการว่าเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้และการสอน กล่าวคือพัฒนาการจะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาความรู้และวิธีการสอน   หรือกิจกรรมการเรียนการสอนต้องสอดคล้องกับพัฒนาการและความสามารถของเด็กเป็นหลัก จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้นตอน
1.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ 
2.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ 
3.  ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์
หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
1.  จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวมอย่างต่อเนื่อง
2.  เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และบริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่
3.  จัดให้เด็กได้รับพัฒนาโดยให้ความสำคัญทั้งกับกระบวนการและผลผลิต

แนวการจัดประสบการณ์ารเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1.  จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ 
2.  จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้
3.  จัดประสบการณ์ในรูปแบบบูรณาการ 
4.  จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่ม คิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทำ และนำเสนอความคิด
5.  จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ 
6.  จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก            
7.  จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันและสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม    
8. จัดสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ให้มีมุมเล่น หรือมุมประสบการณ์ หรือศูนย์การเรียนต่าง ๆ ให้เด็กได้มีโอกาสเล่นร่วมกับผู้อื่น

การนำเสนองานของกลุ่มที่4 หัวข้อ รูปแบบการจัดการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ



     การสอนแบบโครงการ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้

การสอนแบบโครงการเป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีลักษณะสำคัญดังนี้ 
      ความคิดพื้นฐานเชื่อว่า การเรียนรู้ของเด็กมาจากการกระทำ เด็กเป็นผู้ที่ต้องพัฒนา มีความคิด มีความมุ่งหมาย ความต้องการที่จะเรียนรู้ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของตนเองต้องพึ่งตนเอง การสอนแบบโครงการมุ่งพัฒนาทางร่างกายและจิตใจของเด็กไปพร้อมกัน 

หลักการสำคัญของรูปแบบการสอนแบบโครงการ

   1.เด็กศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึก  ลงในรายละเอียดของเรื่องนั้นๆจนพบคำตอบที่ต้องการ
   2.เรื่องที่เด็กศึกษาเป็นเรื่องที่เด็กเป็นผู้เลือกเองตามความสนใจ  ประเด็นที่ศึกษาก็เป็นประเด็นที่เด็กตั้งคำถามขึ้นมาเอง
   3.จัดกิจกรรมมุ่งให้เด็กได้มีประสบการณ์ตรงกับเรื่องที่เด็กศึกษา  โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกตอย่างใกล้ชิดจากแหล่งความรู้เบื้องต้น
   4.ระยะเวลาแต่ละโครงการยาวนานอย่างเพียงพอตามความสนใจของเด็กเพื่อที่จะให้เด็กค้นพบคำตอบ  และคลี่คลายความสงสัยใคร่รู้
   5.จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบกับทั้งความสำเร็จ  และความล้มเลวในกระบวนการการแสวงหาความรู้ตามวิธีการของเด็กเอง
   6.เมื่อเด็กค้นพบคำตอบ  เปิดโอกาสให้เด็กนำความรู้ใหม่ๆที่ได้นั้นมาเสนอในรูปแบบต่างๆ ตามความต้องการของเด็กเอง  อาจเป็นการเขียน  การวาดภาพระบายสี  การสร้างแบบจำลอง  การเล่นบทบาทสมมติ  การแต่งนิทานหรือรูปแบบอื่นๆ
   7.เด็กเสนอความรู้ต่อเพื่อนๆ และคนอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกระบวนการศึกษาของตนเอง  และเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จนั้น
   8.ครูไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้  หรือกำหนดกิจกรรมให้เด็กทำแต่เป็นผู้กระตุ้นให้เด็กใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์อื่นๆ เพื่อจัดระบบความคิด  และสนับสนุนให้เด็กใช้ความรู้ทักษะที่มีอยู่แก้ปัญหาด้วยตนเอง

วิธีจัดการเรียนการสอนมี 4 ระยะ คือ 
   ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ 
   ระยะที่ 2 ระยะวางแผนโครงการ เป็นช่วงเวลาที่กำหนดจุดประสงค์ว่าต้องการเรียนรู้อะไร กำหนดขอบเขตเนื้อหา ระยะเวลาและวิธีการศึกษา 
   ระยะที่ 3 ดำเนินโครงการตามที่กำหนดไว้ ที่เน้นระบวนการแก้ปัญหา จัดเป็นหัวใจของการสอนแบบโครงการ เพราะเด็กจะได้รับข้อมูลใหม่จากประสบการณ์ตรงหรือเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานเพราะเด็กได้สนทนา พูดคุยกับบุคคล และสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้ ขณะเดียวกันเด็กสามารถค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลรอง (Secondary Sources) เช่น การดูวีดีทัศน์ การอ่านหนังสือ เป็นต้น 
   ระยะที่ 4 สรุปโครงการ ครูและเด็กร่วมวางแผนสรุปโครงการ เป็นขั้นตอนการประเมินโครงการ ทบทวนการปฏิบัติ และวางแผนโครงการใหม่ วิธีการสรุปโครงการอาจจะให้เด็กนำผลงานที่ได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครูแล้วอภิปรายประเด็นปัญหา หรือให้เด็กนำเสนอผลงาน ในรูปของการจัดแสดง จัดเป็นนิทรรศการ หรือสาธิตผลงาน 
   -  มีกิจกรรมหลักในโครงการ 4 กิจกรรมคือ กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน กิจกรรมทัศนศึกษา กิจกรรมสืบค้น และกิจกรรมนำเสนอผลงาน 
   -  กิจกรรมสืบค้นมีหลากหลายได้แก่ การรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสังเกต การสัมภาษณ์ การปฏิบัติทดลอง การรวบรวมเอกสาร การรายงาน การจัดแสดงผลงานที่ได้จากโครงการ เป็นต้น 
   -  เรื่องที่จะเรียนมาจากความสนใจของเด็กที่ต้องการเรียนอย่างลุ่มลึก เด็กจึงเป็นผู้วางแผนและร่วมคิด ร่วมมือสืบค้นกับผู้อื่น ครูเป็นผู้สนับสนุน สังเกตและอำนวยความสะดวก หากเรื่องนั้นมีความเป็นไปได้ มีแหล่งข้อมูลเพียงพอ พ่อแม่และชุมชนมีความพร้อมที่จะร่วมมือ 
   -  ทักษะการเรียนรู้หนังสือจำนวน ให้บูรณาการในหัวเรื่องโครงการ รวมทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษา ดังนั้น หัวเรื่องหนึ่งที่เด็กสนใจเรียนรู้นั้นต้องมีเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์และควรสำรวจที่โรงเรียนเหมาะกว่าที่บ้าน

Apply         
        ครูคือผู้มีบทบาทสำคัญที่ควรส่งเสริมให้เด็กได้สัมผัส ได้เรียนรู้จากสถานที่จริง ให้เด็กได้เรียนรู้กับเพื่อนและบุคคลอื่นนอกเหนือจากครู ครูต้องอดทน รอคอยการสร้างองค์ความรู้ของเด็กมากกว่าจะบอกคำตอบให้เด็กทันที การเรียนแบบโครงการต้องใช้เวลา ครูจึงต้องวางแผนจัดกิจกรรมทุกระยะของโครงการด้วยความร่วมมือกับผู้บริหารและผู้ปกครอง

Teaching Techniues
         การอธิบาย / การยกตัวอย่าง / การใช้คำถาม

Evaluation 
   Teacher  อธิบายรายละเอียดชัดเจน ให้คำแนะนำนักศึกษาเป็นอย่างดี แต่งกายสุภาพเรียบร้อยเหมาะสม
   Friend   เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจฟังขณะครูอธิบาย แต่งกายถูกระเบียบ
   Self  เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายถูกระเบียบ












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียน ครั้งที่14 วันจันทร์ ที่30 เมษายน 2561 Knowledge การสอนกิจกรรมเสริมประสบการณ์ หน่วย ผลไม้เพื่อสุภาพ หัวข้อ วิ...